ในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดีแบบนี้ นักลงทุนหลายคนก็คงวิตกไปตาม ๆ กันว่าจะลงทุนในหุ้นตัวไหนดี ผมขอแนะนำให้ลองมาดู หุ้นพื้นฐานดี กันครับ เพราะหุ้นพื้นฐานดีจะไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะของตลาดมากนัก การลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ทำให้ความตึงเครียดของนักลงทุนลดลงเพราะไม่ต้องมากังวลกับภาวะผันผวนมาก มาถึงตรงนี้หลายคนคงมีคำถามว่า แล้วหุ้นพื้นฐานนี้หน้าตาเป็นแบบไหน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นพื้นฐานดี? ผมมีคำตอบมาฝากครับ มาดู 6 วิธีสังเกตหุ้นพื้นฐานดีแบบง่าย ๆ กันเลยครับ 1. มีการเติบโตต่อเนื่องอย่างน้อย 3-5 ปี บริษัทที่ดีที่น่าลงทุนควรมียอดขายหรือรายได้ที่เติบโตต่อเนื่องอย่างน้อย 3-5 ปี เพื่อเป็นตัวบ่งบอกว่าบริษัทยังเติบโตต่อได้และยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งก็คาดการณ์ได้ว่าในอนาคตบริษัทก็คงมีรายได้มากขึ้นอีก นักลงทุนเองก็สามารถสบายใจได้ว่าในปีต่อไปก็มีโอกาสสูงที่จะได้กำไร 2. บริหารธุรกิจได้ดี มีกำไรสม่ำเสมอ บริษัทดีที่น่าลงทุนควรมีกำไร ตั้งแต่กำไรขั้นต้นไปจนถึงกำไรสุทธิซึ่งเป็นกำไรขั้นสุดท้ายที่บริษัทจะได้ และมีกำไรสม่ำเสมอมากกว่า 3 ปีขึ้นไป ซึ่งผลกำไรควรได้มาจากการขายสินค้าและบริการหลักของบริษัท เนื่องจากจะเป็นผลดีกับบริษัทในระยะยาวเพราะเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นประจำ ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่ขาดทุนต่อเนื่อง เพราะการปรับตัวขึ้นของราคาจะเป็นไปได้ยาก และอาจจะไม่มีเงินปันผลเหลือให้กับผู้ถือหุ้นอีกด้วย แต่ในบางกรณี บริษัทก็เอาเงินไปลงทุนจนทำให้เกิดการขาดทุน แต่จะส่งผลดีต่อบริษัทในระยะยาว ซึ่งก็ต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป 3.
ธุรกิจมีความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ก่อนจะออกศึกควรเลือกม้าให้ดีเสียก่อน (ไม่มีใครกล่าว ผมกล่าวเอง😂) การเลือกหุ้นก็เหมือนกัน ควรนึกภาพในอนาคตของบริษัท ว่าบริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งมากน้อยเพียงใด ไม่จำเป็นต้องเป็นเบอร์ 1 หรือเบอร์ 2 ของอุตสาหกรรมนั้นๆ แต่ควรมีความสามารถหรือมีจุดแข็งในการแข่งขันกับคู่แข่ง ยิ่งเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งขันน้อย หรือมีหน้าใหม่เข้ามาในธุรกิจได้ยากยิ่งดี เพราะบริษัทจะมีความได้เปรียบด้านการแข่งขันสูง 2.
ใครๆ ก็อยากได้ "หุ้นพื้นฐานดี" ด้วยกันทั้งนั้น ทำไมน่ะเหรอ???
ธุรกิจมีจุดแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน การลงทุนระยะยาวจำเป็นต้องมองให้เห็นภาพอนาคตการเติบโตของบริษัท ต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเติบโต จุดแข็ง และความสามารถในการแข่งขันของบริษัท บริษัทที่คุณจะเลือกลงทุนด้วยต้องมีความสามารถที่จะแข่งขันกับบริษัทคู่แข่งและทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการของตลาดเพื่อจะได้มีส่วนแบ่งในตลาดมาก บริษัทที่ว่านี้อาจไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งของตลาดก็ได้แค่ต้องมีกำลังในการแข่งขันอย่างยั่งยืน หรือหากเป็นธุรกิจหน้าใหม่หรือมีคู่แข่งน้อยรายได้ก็จะยิ่งดี เพราะหมายความว่าจะได้เปรียบด้านการแข่งขันมากขึ้น 4.
finnomena 3. หนี้สินไม่เยอะ การมีหนี้เป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ การมีหนี้ระยะยาวมากเกินไป เพราะอาจทำให้บริษัทชำระหนี้ไม่ทัน และต้องเสียดอกเบี้ยจากหนี้มหาศาล หากวันใดบริษัทขาดสภาพคล่อง และไม่สามารถชำระหนี้ได้ จะเกิดปัญหาทันที และนักลงทุนจะได้รับผลกระทบต่อมาด้วยราคาหุ้นที่ล่วงลงแรง ผมจะดู "อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน" (D/E Ratio) ถ้าบริษัทใดมี D/E Ratio ต่ำกว่า 2 ถือว่าสอบผ่าน 4.
26 มี. ค.
กำไรสะสมเพิ่มต่อเนื่อง กำไร สะสมก็คือ ส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่เกินกว่าเงินลงทุนที่ผู้ถือหุ้นนำมาลงในบริษัท โดยกำไรสะสมจะเกิดจากการดำเนินงานเพื่อผลกำไรของบริษัท ซึ่งเป็นกำไรที่เหลืออยู่นับตั้งแต่เริ่มจัดตั้งบริษัทเป็นต้นมา หุ้นพื้นฐานดีจำเป็นต้องมีกำไรสะสมเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพราะกำไรสะสมเป็นส่วนที่บริษัทสามารถนำไปลงทุนต่อยอดเพื่อทำให้กิจการเติบโตขึ้นได้ และเงินส่วนนี้สามารถนำมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อีกด้วย 6.