เฟล็กซ์ (Flex Printing) การนำตัวงานพิมพ์มารีดความร้อนกดทับลงบนเสื้อ ซึ่งตัวเนื้อมีลักษณะคล้ายฟิล์ม (เหมือนสติกเกอร์) ที่ต้องใช้งานร่วมกับเครื่องรีดความร้อน เครื่องตัดสติกเกอร์ และเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท ตัวอย่างเช่น เบอร์เสื้อกีฬา logo sponsor กลางเสื้อ เป็นต้น ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนจะนิยมใช้กับเสื้อกีฬามากกว่า แต่ในปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมใช้กับเสื้อแฟชั่นทั่วไป เพราะตัว Flex เองมีลูกเล่นเนื้อ สี ที่หลากหลายแบบเช่น สีReflect, สีสะท้อนแสง เป็นต้น ผ้าที่เหมาะสม: สามารถพิมพ์บนทุกเนื้อผ้า 6. พิมพ์แบบระเหิด (Sublimation Printing) เป็นการพิมพ์ลายลงบนผ้าโดยตรง ซึ่งเหมาะสำหรับการพิมพ์เสื้อทั้งตัว โดยสามารถทำลวดลายได้ค่อนข้างละเอียดมากๆ ส่วนใหญ่จะใช้ทำกับเสื้อกีฬา หรือผ้า TK TC จะทำให้สีคมชัด จะเน้นการพิมพ์ลงบนผ้าสีขาวและย้อมออกมาเป็นสีทั้งตัว (จุดสังเกตเมื่อเราพลิกเสื้อข้างในจะเห็นเป็นสีขาวอยู่) งาน Sublimation จะไม่เหมาะทำบนผ้า Cotton 100% เพราะสีที่ออกมาจะดรอปและไม่ชัดเจนเท่าที่ควร ผ้าที่เหมาะสม: สามารถพิมพ์บนผ้า Polyester, ผ้าTK, ผ้า TC 7.
งานสกรีนมีกี่แบบ อะไรบ้าง ปัจจุบันงานสกรีนได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องด้วยสามารถสร้างชิ้นงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ออกแบบได้ตรงกับความต้องการของลูกค้า เป็นชิ้นงานที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้ มีชิ้นเดียวในโลก เราจะมาดูกันว่า งานสกรีนนั้นมีกี่ประเภท งานสกรีนแต่ละประเภทเป็นอย่างไร ไปร่วมหาคำตอบพร้อมๆกันครับ ✔ งานสกรีนมีกี่ประเภท งานสกรีนโดยหลักๆแล้วจะมี 3 ประเภท คือ 1. งานสกรีนแบบ Silk Screen เป็นการพิมพ์สกรีนโดยต้องใช้บล็อคในการสกรีน โดยกำหนดเป็น 1 สี ต่อ 1 บล็อค หากต้องการงานสกรีน 4 สี ต้องใช้ 4 บล็อค ซึ่งเหมาะกับการพิมพ์เสื้อ สกรีนเสื้อจำนวนมาก เนื่องจากเมื่อสร้างบล็อคขึ้นมาบล็อคนึงแล้ว สามารถนำไปสกรีนเสื้อได้จำนวนมาก ข้อดี สามารถสกรีนบนวัสดุได้หลากหลาย เช่น เสื้อผ้า ไม้ MDF เหล็ก ถุงผ้าดิบ พลาสติก และอื่นๆอีกมากมาย เหมาะกับงานสกรีนในปริมาณมาก เนื่องจากต้นทุนต่อการสกรีนเสื้อ 1 ตัวจะถูกลง ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดงานสกรีน โดยสามารถกำหนดขนาดงานสกรีน ได้ตั้งแต่ 0. 5 เซนติเมตร จนถึง 4 เมตร ซึ่งในกรณีที่งานสกรีนมีขนาดใหญ่ ขนาดบล็อคที่ใช้ต้องมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย ซึ่งถ้าบล็อคมีขนาดใหญ่ ควรจะมีจำนวนชิ้นงานในปริมาณมาก เพื่อให้ต้นทุนต่อชิ้นงานนั้น ถูกลง ข้อเสีย เนื่องด้วยงานสกรีนแบบ silk screen เป็นการนำสีมาสกรีนตามบล็อคที่ได้สร้างไว้ งานสกรีนจึงมีโอกาสแตกลาย หรือหลุดลอกได้ หากไม่ดูแลรักษาหรือใช้งานผิดวิธี 2.
ในปัจจุบันนี้งานสกรีนได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องด้วยงานสกรีนสามารถสร้างชิ้นงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีออกแบบได้ตรงกับความต้องการ ของผู้ที่ชอบวิธีการใหม่ๆในการเพิ่มมูลค่า ให้กับกระเป๋า หรือสินค้าประเภทต่าง ซึ่งเราจะมาดูกันว่า งานสกรีนนั้นมีกี่ประเภท และงานสกรีนแต่ละประเภทเป็นอย่างไรกันบ้าง งานสกรีนโดยหลักๆแล้วจะแแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. งานสกรีนแบบ Silk Screen Silk Screen เป็นการพิมพ์สกรีนโดยต้องใช้บล็อคในการสกรีน โดยกำหนดเป็น 1 สี ต่อ 1 บล็อค หากต้องการงานสกรีน 4 สี ต้องใช้ 4 บล็อค ซึ่งเหมาะกับการสกรีนเสื้อ หรือชิ้นส่วนของกระเป๋า ที่มีจำนวนมาก เนื่องจากเมื่อสร้างบล็อคขึ้นมาบล็อคนึงแล้ว สามารถนำไปสกรีนในครั้งต่อๆไปได้ ข้อดี สามารถสกรีนบนวัสดุได้หลากหลาย เช่น ผ้า ไม้ MDF เหล็ก ถุงผ้าดิบ พลาสติก หนังเทียม(หนังpvc/pu) และอื่นๆอีกมากมาย เหมาะกับงานสกรีนในปริมาณมาก เนื่องจากต้นทุนต่อการสกรีน จะถูกลง ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดงานสกรีน โดยสามารถกำหนดขนาดงานสกรีน ได้ตั้งแต่ 0. 5 เซนติเมตร จนถึง 4 เมตร ซึ่งในกรณีที่งานสกรีนมีขนาดใหญ่ ขนาดบล็อคที่ใช้ต้องมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย ซึ่งถ้าบล็อคมีขนาดใหญ่ ควรจะมีจำนวนชิ้นงานในปริมาณมาก เพื่อให้ต้นทุนต่อชิ้นงานนั้น ถูกลง ข้อเสีย เนื่องด้วยงานสกรีนแบบ silk screen เป็นการนำสีมาสกรีนตามบล็อคที่ได้สร้างไว้ งานสกรีนจึงมีโอกาสแตกลาย หรือหลุดลอกได้ หากไม่ดูแลรักษาหรือใช้งานผิดวิธี 2.
x 50cm. 3. งานสกรีนแบบ Transfer, Sublimation, Flex โดยเครื่องรีดร้อน (Heat Press) 3. 1 งานสกรีนแบบ Transfer เป็นการสกรีนโดยพิมพ์ลวดลายหรือรูปภาพที่ต้องการสกรีนลงบนกระดาษทรานเฟอร์ ด้วยหมึก Pigment แล้วนำมาสกรีนบนเสื้อด้วยเครื่องรีดร้อน (Heatpress) โดยภาพหรือลวดลายบนกระดาษทรานเฟอร์ จะสกรีนติดลงบนเสื้อผ้าอย่างสวยงาม สามารถสกรีนจำนวนน้อยได้ ไม่จำกัดสีที่ใช้สกรีน สีเสื้อผ้าและเนื้อผ้า ไม่ใช้สามารถใช้เตารีด รีดลงบนเสื้อด้านที่สกรีนภาพได้โดยตรง ต้องรีดโดยการกลับด้าน งานสกรีนมีโอกาสแตก หลุดลอก เนื่องจากเป็นการสกรีนโดยภาพหรือลวดลายติดอยู่บนพื้นผิวของเนื้อผ้า ไม่ได้ซึมซับเข้าไป เนื้องานสกรีนจะมีลักษณะแข็งๆ 3.