Design March 12, 2020 1686 views 0 User Journey คืออะไร User Journey เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจลูกค้า ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาด, UX/ UI Designer หรือคนวางแผนกลยุทธ์ที่ต้องทำความเข้าใจผู้ใช้งานของคุณ น่าจะผ่านมือ ผ่านตา และมีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แม้ว่า User Journey จะเป็นเครื่องมือยอดนิยมเพื่อทำความเข้าใจลูกค้า ด้วยรูปแบบการทำงานที่ไม่ซับซ้อน และให้ผลลัพธ์ชัดเจน แต่เมื่อถึงเวลาใช้งานจริง หลายคนอาจเริ่มต้นใช้งานเครื่องมือนี้แบบงงๆ ได้เช่นกัน ลองมารีเช็คดูว่าคุณเคยพบปัญหาในการทำ User Journey แบบนี้บ้างไหม 1. ยึดกระบวนการมากเกินไป ในกรณีนี้ ผมขอยกตัวอย่างเป็น ลูกค้าอยากย้ายค่ายมือถือ หลายคนที่เข้าใจว่าจะต้องเขียนกระบวนการที่จะทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้า/บริการของเรา ก็จะไปโฟกัสเรื่อง ลูกค้าจะต้องยื่นเอกสารอะไรบ้าง ต้องเขียนคำร้องต่างๆ หรือต้องชำระเงินเท่าไร แต่ที่จริงแล้ว เมื่อเริ่มเขียน User Journey เราต้องสวมหมวกตัวเองเป็นลูกค้า แล้วคิดว่า หากต้องการได้รับสินค้า/บริการสักอย่าง เราจะเริ่มคิด เริ่มทำอะไรบ้าง และเรียงลำดับไปเรื่อยๆ จนได้รับสิ่งนั้นในที่สุด เช่น ลูกค้าจะมองหาโปรโมชันใหม่ๆ นำราคาไปเปรียบเทียบกับเจ้าอื่น เป็นต้น 2.
MARKETING BLOG: Customer Journey คืออะไร? ประยุกต์ใช้กับการตลาดออนไลน์อย่างไร? Customer Journey คือ เส้นทางของผู้บริโภคตั้งแต่ก่อนจะเป็นลูกค้า จนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการ รวมถึงกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการนั้นซ้ำ โดยเป็นแนวทางสำหรับคนทำธุรกิจ ที่ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าและวางแผนการตลาดได้ดีขึ้น ปัจจุบันการทำการตลาดออนไลน์เป็นช่องทางสำคัญที่จะเข้าถึงลูกค้าและยังสามารถวัดผลได้ค่อนข้างแม่นยำ โดยสามารถปรับให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ไม่ยาก 5 ขั้นตอนสำคัญของ Customer Journey 1.
ตอบคำถามก่อนเข้ากรุ๊ปด้วยน้า ^^ customer experience marketing Suki+ Learning Center By Sellsuki "Suki Plus Learning Center By Sellsuki เรารวบรวมเทคนิคต่างๆที่เจ้าของร้านออนไลน์ต้องรู้ " สนุกกับการติดตามข่าวสาร และเรียนรู้รูปแบบการทำธุรกิจใหม่ๆบนโลกออนไลน์ เพลิดเพลินเสมอเมื่อเกิดเทรนด์การตลาดใหม่ๆ และตื่นเต้นทุกครั้งที่จะได้พบปะ-พูดคุยกับเจ้าของร้านออนไลน์ดังๆ เพราะนั่นหมายความว่า เรากำลังจะมีเรื่องสนุกๆ มาเขียนให้เพื่อนๆเจ้าของร้านออนไลน์ทุกคนได้อ่านกัน:)
" Sales is not about selling anymore, but about building trust and educating. " — Siva Devaki สมัยก่อนกลยุทธ์ในการ 'ผลัก' โฆษณาแบบ Hard Sell ออกไปอาจจะยังได้ผลดี แต่ปัจจุบันสถานการณ์นั้นเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อผู้บริโภคได้เปลี่ยนพฤติกรรมจาก Product-Specific เป็น Problem-Specific หรือก็คือ ให้ความสำคัญกับปัญหา มากกว่าตัวสินค้า นั่นหมายความว่า กลยุทธ์การตลาดใดจะดีไปกว่าการ เข้าใจลูกค้า ของตัวเอง บทความนี้จะพาคุณมารู้จักกับ Customer Journey เพื่อความเข้าใจลูกค้าที่มากขึ้น สู่การประยุกต์ใช้เพื่อสร้างกลยุทธ์ที่สามารถชนะใจพวกเขาได้ Customer Journey คืออะไร? ช่วยให้เข้าใจลูกค้าได้อย่างไร?
ทำไมต้องมี? ซึ่งก่อนจะสร้างโฆษณาหรือคอนเทนต์ เราต้องศึกษาข้อมูลด้วยว่า กลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร และนิยมใช้แพลตฟอร์มแบบไหน 2.
ตัวอย่างเช่น หากสินค้าของคุณคือ 'ประกันสุขภาพ' Content ที่เหมาะสมกับ Stage นี้จะประมาณว่า หากไม่มีประกันสุขภาพ ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้รักษาตัวในอนาคตนั้นจะสูงแค่ไหน ประกันสุขภาพให้ความคุ้มครองอย่างไรบ้าง?
Main Idea รู้ไหมว่ากว่าที่ผู้บริโภคคนหนึ่งจะกลายมาเป็นลูกค้าของแบรนด์ ไปจนถึงลูกค้าขาประจำได้ แต่ละสเตปล้วนแล้วแต่มีเส้นทางกระบวนการที่สร้างให้เกิดมิติต่างๆ ของการทำธุรกิจได้ หรือที่เรียกว่า "Customer Journey" โดยมี 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ ค้นหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย 2. Convert เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าตัวจริง และ3.
ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจที่กำลังจะเริ่มเข้ามาทำการตลาดออนไลน์ สิ่งแรกที่ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจจะเริ่มมองเป็นสิ่งแรกคงหนี้ไม่พ้นเรื่องของสื่อ Media ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเพจ Facebook, IG, Website ฯลฯ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่คุณต้องโฟกัสเป็นสิ่งสำคัญ คือ Content ทำไมต้องโฟกัสที่ Content?
หลังจากนั้นคุณบีจะทำการเข้าไปดูเวปไซต์หลักและ facebook ของแต่ละบริษัท ดูบริการ และราคาค่าใช้จ่าย 3. ลองไปดูข้อมูลตามเพจต่างๆที่เป็นรีวิวหลังจากใช้บริการของบริษัทโลจิสติกส์ สัก 3-4 เพจ เพื่อไปค้นหาอัตราค่าบริการและบทความคอนเทนต์ เพื่อประกอบการตัดสินใจ ยิ่งบทความหรือภาพคอนเทนต์ตรงกับข้อมูลที่ค้นหามากเท่าไหร่แนวโน้มในการตัดสินใจของคุณบีก็มากขึ้นเท่านั้น 4. หลังจากนั้นคุณบีสนใจ 3 บริษัทและได้โทรไปสอบถามราคาและขอใบเสนอราคาจากบริษัทโลจิสติกส์เพื่อประกอบการตัดสินใจและกำหนดวันรับมอบสินค้าและวันที่สินค้าจะไปถึงปลายทาง เนื่องจากการส่งของไปโกดังอเมซอนนี้ต้องการหาคนที่เป็นมืออาชีพสูงจึงต้องพิจารณาทั้งราคา ระยะเวลา และความคุ้มค่า 5. เมื่อคุณบีเปรียบเทียบราคาจาก 3 บริษัทแล้ว จึงตัดสินใจเลือกบริษัทที่ 1 สำหรับการส่งสินค้าไปโกดัง Amazon 6. เมื่อถึงวันกำหนดส่งสินค้าไปยังปลายทาง ทางคุณบีก็ประทับใจในบริการของบริษัทที่ 1 เพราคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปและได้รับบริการแจ้งเตือนสถานะสินค้าระหว่างการจัดส่งตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางเป็นอย่างดี 7. จากความประทับใจของบริษัทที่ 1 นั้นทำให้ ในครั้งต่อไปคุณบีจึงตัดสินใจกลับมาส่งสินค้ากับบริษัทเดิมอีกครั้ง 8.