การจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากยานพาหนะ สถานการณ์ปัญหา เสียงดัง เป็นปัญหาที่พบในเขตชุมชนและพื้นที่พัฒนาต่างๆ ที่มีการขยายตัวของการคมนาคมขนส่งโดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่ประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยแหล่งกำเนิดเสียงที่สำคัญคือ ยานพาหนะ จากผลการตรวจวัดระดับเสียงโดยสถานีตรวจวัดอย่างต่อเนื่องพบว่า ในปี 2548 บริเวณริมถนนมีค่าระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง 60. 8-90. 3 เดซิเบลเอ (เฉลี่ย 71 เดซิเบลเอ) เกินมาตรฐาน1 ร้อยละ 70 ของจำนวนวันที่ตรวจวัด และผลการตรวจวัดระดับเสียงจากยานพาหนะประเภทต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนร้อยละของรถที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน พบว่า รถยนต์สี่ล้อเล็ก มีระดับเสียงเกินมาตรฐานมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 50. 4 รองลงมาคือ รถจักรยานยนต์ 2 จังหวะ รถสามล้อเครื่อง และรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ (ร้อยละ 35. 1, 12. 8 และ 1. 7 ตามลำดับ) ส่วนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล พบว่า รถโดยสารระหว่างจังหวัดมีระดับเสียงเกินมาตรฐานมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 34. 4 รองลงมาคือ รถโดยสารไม่ประจำทาง รถตู้ รถมินิบัส และรถโดยสารร่วมประจำทาง ขสมก. (ร้อยละ 29. 7, 10, 8. 6, และ 8.
ผลกระทบต่อการได้ยิน แบ่งเป็น 3 ลักษณะคือ - หูหนวกทันที เกิดขึ้นจากการที่อยู่ในบริเวณที่มีเสียงดังเกิน 120 เดซิเบลเอ - หูอื้อชั่วคราว เกิดขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีระดับเสียงดังตั้งแต่ 80 เดซิเบลเอขึ้นไปในเวลาไม่นานนัก - หูอื้อถาวร เกิดขึ้นเมื่ออยู่ในบริเวณที่มีระดับความดังมากเป็นเวลานานๆ 2. ด้านสรีระวิทยา เช่น ผลกระทบต่อระบบการหมุนเวียนของเลือด ต่อมไร้ท่อ อวัยวะสืบพันธุ์ ระบบประสาท และความผิดปกติของระบบการหดและบีบลำไส้ใหญ่ เป็นต้น 3. ด้านจิตวิทยา เช่น สร้างความรำคาญ ส่งผลต่อการนอนหลับพักผ่อน ผลต่อการทำงานและการเรียนรู้ รบกวนการสนทนาและการบันเทิง 4. ด้านสังคม กระทบต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ทำให้ขาดความสงบ 5. ด้านเศรษฐกิจ มีผลผลิตต่ำเนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานลดลง เสียค่าใช้จ่ายในการควบคุมเสียง 6. ด้านสิ่งแวดล้อม เสียงดังมีผลต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ เช่น ทำให้สัตว์ตกใจและอพยพหนี การป้องกันและแก้ไขภาวะมลพิษทางเสียง 1. กำหนดให้มีมาตรฐานควบคุมระดับความดังของเสียงทุกประเภท 2. ควบคุมระดับเสียงจากแหล่งกำเนิดให้อยู่ในระดับที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด โดยการ ใช้กระบวนการผลิตที่ไม่ใช้เสียงดัง บุผนังห้องด้วยวัสดุลดเสียง หรือกำแพงกั้นเสียง 3.
5 เมตร มุม 45 องศา จากปลายท่อไอเสียหรือจากกราบเรือ โดยตั้งไมโครโฟนในระดับเดียวกันกับปลายท่อไอเสียและขนานกับผิวน้ำ ส่วนมลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือน กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง โทรศัพท์ 0 2298 2373 โทรสาร 0 2298 2392 E-mail: noise(at)pcd(dot)go(dot)th
พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ. ศ. 2535 มีการกำหนดมาตรการในการควบคุมปัญหามลพิษทางเสียง ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานระดับเสียงโดยทั่วไป ตามมาตรา 32 ไม่เกิด 115 เดซิเบลเอ และค่าระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ไม่เกิน 70 เดซิเบลเอ ในสิ่งแวดล้อมที่มีคนอยู่หรืออาศัย การกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษทางเสียงจากแหล่งกำเนิด เช่น ประกาศกระทรวงเรื่องกำหนดระดับเสียงของรถยนต์ จักรยานยนต์ และเรือกล ประกาศกระทรวงเรื่องกำหนดมาตรฐานควบคุมระดับเสียงและความสั่นสะเทือนจากการทำเหมืองหิน เป็นต้น 2. พระราชบัญญัติรถยนต์ พ. 2522 ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ. 2531) เรื่องกำหนดรายละเอียดการตรวจสภาพรถยนต์ที่จะจดทะเบียนได้ ว่าต้องผ่านการตรวจระบบการกรองเสียงด้วย 3. พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย พ. 2546 ห้ามมิให้เรือก่อให้เกิดเสียงดังจนเป็นเหตุให้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ เช่น เสียงแตร นอกจากนั้นยังมีประกาศกรมเจ้าท่าฉบับที่ 38 (พ. 2515) เรื่อง การใช้เครื่องวัดเสียงดังของเรือกล ซึ่งกำหนดระดับเสียงที่ก่อให้เกิดความรำคาญ 4. พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ. 2522 มีบทบัญญัติที่ว่าด้วยการห้ามมิให้นำรถที่มีเสียงดังซึ่งอาจทำให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อนรำคาญมาใช้ในทางเดินรถ นอกจากนั้นยังมีการประกาศกำหนดเกณฑ์เสียงที่เกิดจากเครื่องยนต์ของรถยนต์อีกด้วย 5.
Nitro 5 การอัพเกรดครั้งสำคัญของเกมมิ่งโน้ตบุ๊กด้วยการเพิ่มโมบายล์โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen (TM) 9 5900 HX และ NVIDIA GeForce RTX(TM) 3080 Laptop GPU รุ่นสูงสุด Nitro 5 มาพร้อมกับจอแสดงผลขนาด 15. 6" และ 17. 3" ให้การแสดงผลคมชัดสูง (QHD) ค่ารีเฟรชเรทที่ 165 Hz บนความละเอียดของหน้าจอระดับ FHD อัตรารีเฟรชเรท 360 Hz เวลาตอบสนอง 3 ms.
การจำกัดจำนวนยานพาหนะ 1. 1 การเก็บค่าธรรมเนียมเข้าพื้นที่การจราจรแออัด 1. 2 การจัดระบบบริการแท็กซี่ 1. 3 การกำหนดอายุการใช้งานรถรับจ้างทุกประเภท 1. 4 การควบคุมอัตราเพิ่มของรถยนต์ส่วนบุคคล 1. 5 การส่งเสริมให้ประชาชนลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล 1. 6 การห้ามรถบรรทุกวิ่งในเขตพื้นที่ชั้นใน 2. การบริหารจัดการ 2. 1 การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน 2. 2 การจำกัดความเร็วสูงสุดของรถ 2. 3 การปรับปรุงสภาพผิวถนน 2. 4 การจัดการเรื่องร้องเรียนยานพาหนะเสียงดัง 2. 5 การบริการปรับแต่งท่อไอเสียงและตรวจวัดระดับเสียงยานพาหนะ 2. 6 การส่งเสริมและศึกษาวิจัยเทคโนโลยีลดมลพิษจากยาพาหนะ 2. 7 การสนับสนุนมาตรการด้านผังเมือง 3. มาตรการด้านกฎหมาย 3. 1 การกำหนดมาตรฐานระดับเสียงยานพาหนะ 3. 2 การตรวจสภาพรถก่อนต่อทะเบียน 3. 3 การตรวจจับยานพาหนะเสียงดัง 3. 4 การตรวจจับร้านจำหน่ายท่อไอเสียไม่ได้มาตรฐาน 4. การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ กฏหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ) มาตรฐาน /วิธีการตรวจวัด/ ข้อกำหนดเกี่ยวกับเสียงของยานพาหนะ รายละเอียด 2. ) ข้อหาหรือฐานความผิด รายละเอียด
ผู้ที่อยู่ในบริเวณที่มีแหล่งกำเนิดเสียงดังควรใช้วัสดุป้องกันการได้ยินเสียงดัง เช่น เครื่องอุดหู เครื่องครอบหู เป็นต้น 4. กำหนดเขตการใช้ที่ดินประเภทที่ก่อให้เกิดเสียงดังรำคาญ ให้อยู่ห่างจากสถานที่ที่ต้องการความสงบเงียบ เช่น ชุมชนพักอาศัย โรงเรียน โรงพยาบาล วัด เป็นต้น เพื่อเพิ่มระยะทางระหว่างแหล่งกำเนิดเสียงกับชุมชน หรือให้มีเขตกันชนเพื่อลดความดังของเสียง 5. เข้มงวดกับการใช้มาตรการลดผลกระทบจากกิจกรรมการก่อสร้างต่างๆ 6. ยกเว้นหรือลดภาษีในกิจกรรมหรือวัสดุอุปกรณ์สำหรับควบคุมและป้องกันภาวะมลพิษทางเสียง 7. ให้การศึกษาและฝึกอบรมด้านภาวะมลพิษทางเสียงแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 8. สนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับการป้องกัน ควบคุมและแก้ไขภาวะมลพิษทางเสียง 9. สร้างเครือข่ายตรวจสอบและเฝ้าระวังแหล่งกำเนิดภาวะมลพิษภายในชุมชน 10. รณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้ถึงอันตรายจากภาวะมลพิษทางเสียง และร่วมมือกันป้องกันมิให้เกิดมลพิษทางเสียง
พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ. 2522 มีบทบัญญัติว่าด้วยการกำหนดสภาพ เครื่องอุปกรณ์ และส่วนควบของรถ เช่น มีเครื่องระงับเสียง มีเครื่องยนต์และเสียงแตรที่ไม่ทำให้เกิดเสียงเกินเกณฑ์ที่กรมการขนส่งทางบกประกาศกำหนด นอกจากนั้นห้ามนำเสียงแตรที่มีเสียงทำให้เกิดความรำคาญหรือรบกวนสาธารณชนมาใช้ ซึ่งถ้าไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษปรับและไม่อาจนำรถดังกล่าวไปจดทะเบียนหรือต่อทะเบียนได้ 6. พระราชบัญญัติโรงงาน พ. 2535 กำหนดเสียงดังจากสถานประกอบการต้องไม่เกินค่ามาตรฐานที่รัฐมนตรีประกาศ ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการต้องมีหน้าที่กำจัดเสียง และความสั่นสะเทือนในโรงงานไม่ให้เป็นที่เดือดร้อน เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยใกล้เคียง และดูแลรักษาระบบเก็บเสียงให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยตลอดเวลา 7. พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ. 2541 กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่ควบคุมระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับ เฉลี่ยตลอดเวลาการทำงานในแต่ละวันมิให้เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่งถ้าเกินมาตรฐานต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดหรือทางผ่านของเสียงเพื่อไม่ให้ระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับอยู่ไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด
ในกรณีรถจักรยานยนต์และรถยนต์ ไม่ดัดแปลงท่อไอเสีย ให้มีเสียงดัง ดูแลรักษาเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ ไม่ควรใช้แตรลมหรือใช้แตรโดยไม่จำเป็นขณะอยู่ในเขตพื้นที่อยู่อาศัย ไม่ใช้ความเร็วสูง หรือเร่งเครื่องยนต์แรง ๆ ไม่บรรทุกภาระมากเกินไป มาตรฐานและวิธีการตรวจวัดระดับเสียงจากรถและเรือ 1. ให้จอดรถหรือเรืออยู่ในเกียร์ว่าง 2. เร่งเครื่องยนต์ให้ความเร็วรอบสูงสุดในกรณีรถยนต์หรือเรือที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล หรือเร่งเครื่องยนต์ให้มีความเร็วรอบเท่ากับ 3/4 ของความเร็วรอบสูงสุดในกรณีใช้เครื่องยนต์เบนซินหรือรถจักรยานยนต์ที่มีความเร็วรอบสูงสุดไม่เกิน 5, 000 รอบต่อนาที และเร่งเครื่องยนต์ให้มีความเร็วรอบเท่ากับ 1/2 ของความเร็วรอบสูงสุด ในกรณีเป็นรถจักรยานยนต์ ที่มีความเร็วรอบสูงสุดกว่า 5, 000 รอบต่อนาที การตรวจวัดระดับเสียง การตรวจวัดระดับเสียงจากรถ มี 2 วิธี วิธีที่ 1 ต้องไม่เกิน 100 เดซิเบลเอ ไมโครโฟนห่าง 0. 5 เมตร จากปล่อยท่อไอเสีย ทำมุม 45 องศา ระดับเดียวกับท่อไอเสียและขนานกับพื้น วิธีที่ 2 ต้องไม่เกิน 85 เดซิเบลเอ ไมโครโฟนห่าง 7. 5 เมตร จากตัวรถ สูง 1. 2 เมตร และขนานกับพื้น การตรวจวัดระดับเสียงจากเรือ ต้องไม่เกิน 100 เดซิเบลเอ ไมโครโฟนห่าง 0.
มลพิษทางเสียง หมายถึง สภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเกินค่ามาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดอันก่อให้เกิดความรำคาญ สร้างความรบกวน ทำให้เกิดความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้ตกใจ และอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยได้ เช่น เสียงที่ดังมา ก หรือเสียงที่ดังยาวต่อเนื่อง เสียงรบกวน คือ เสียงที่ผู้ได้ยิน ประเภทของแหล่งกำเนิดมลพิษเสียง แหล่งที่ก่อให้เกิดเสียงรบกวนอันเป็นมลพิษทางเสียง ส่วนใหญ่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ประเภทเคลื่อนที่ ได้แก่ - เสียงจากยานพาหนะทางบก ได้แก่ รถยนต์ รถไฟ รถจักรยานยนต์ เป็นต้น - เสียงจากยานพาหนะทางน้ำ เช่น เรือหางยาว เป็นต้น - เสียงจาดยานพาหนะทางอากาศ เช่น เครื่องบิน เป็นต้น - เสียงจากเครื่องกลหนักที่ใช้ในการก่อสร้าง - เสียงจากเครื่องขยายเสียงบนรถโฆษณาเคลื่อนที่ 2. ประเภทอยู่กับที่ ได้แก่ - สถานประกอบการต่างๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม อู่ซ่อมรถยนต์ โรงมหรสพ และสวนสนุก - เสียงจากเครื่องมือกลที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น เครื่องเจาะคอนกรีต - เครื่องขยายเสียงตามสถานที่ต่างๆ สถานที่เริงรมย์ - เสียงจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง ภูเขาไฟระเบิด ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางเสียง 1.