แต่หากอยากเคลียแรมโดยไม่ต้องปิดเครื่องนั้นสามารถอ่านบทความเรื่อง วิธีเคลียแรม iPhone, iPad ทำให้เครื่องกลับมาเร็วขึ้น (Clear Ram iPhone) ได้เลยนะครับ ศิษย์เก่าวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ม. ขอนแก่น ผู้ก่อตั้ง ตั้งแต่ปี 2009 อดีต Dell Technical Support รู้จัก Apple เพราะ Macbook Pro และใช้ iPhone ตั้งแต่รุ่น 3G จนถึงปัจจุบัน
4 ถึง f/16 ได้เลย 8. วิธีปิด Live Photo แบบถาวร หลายคนอาจเจอปัญหาปิด live photo แล้วอยู่ ๆ ก็กลับมาเปิดเองอีก วิธีแก้ให้ไปที่หน้า Setting หลัก เลือก Camera -> Preserve Setting -> Live photo ให้เปิดเอาไว้ จากนั้นไปเปิดกล้อง แล้วปิด Live Photo ก็จะเป็นการปิดถาวร หากต้องการใช้ก็เปิดใหม่บนหน้าจอกล้อง ไม่ต้องกลับไปยุ่งใน setting หลักอีก 9. วิธีปิด Night Mode คงทราบกันแล้วว่า iPhone 11 นั้นมี Night Mode มาให้ และทำงานแบบอัตโนมัติ คือไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับม้นเลย แต่หากต้องการ เราสามารถปิดการใช้งานได้โดยแตะที่ ไอค่อนกลม ๆ มุมบนซ้ายของหน้าจอกล้อง เพื่อเรียกเมนูย่อย night mode ด้านล่างขึ้นมา จากนั้นเลื่อนแถบดังกล่าวไปทางซ้ายมือจนขึ้นคำว่า off หรือ ปิด หากต้องการปรับแต่งการทำงานของ Night Mode ก็สามารถเลือกได้ตรงนี้เช่นเดียวกันโดยสามารถเลือกให้เปิดชัตเตอร์กี่วินาที 10. วีธีปรับความละเอียดวีดิโออย่างรวดเร็ว นอกจากการตั้งค่าความละเอียดของการถ่ายวีดิโอใน Setting หลักแล้ว เวลาเปิดกล้องขึ้นมาถ่ายวีดิโอก็สามารถปรับความละเอียด และ เฟรมเรทได้อย่างรวดเร็ว โดยการแตะที่ตัวหนังสือบอกความละเอียดที่มุมจอด้านบน แตะปุ๊ปก็จะเปลี่ยนความละเอียด หรือ เฟรมเรทวน ๆ ไปจนกว่าจะพอใจ 11.
บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการปิดเครื่อง iPad ไปเลย ไม่ใช่แค่ปิดหน้าจอ วิธีการ 1 ของ 3: ปิด iPad โดยใช้ปุ่ม Power 1 หาปุ่ม "Sleep/Wake" ของ iPad. ปกติปุ่ม "Sleep/Wake" จะเป็นปุ่มรีๆ อยู่มุมขวาบนของเครื่อง iPad ถ้ายก iPad ขึ้นในแนวตั้ง 2 กดปุ่ม "Sleep/Wake" ค้างไว้. ให้เริ่มจากกดปุ่ม "Sleep/Wake" ค้างไว้ 2 - 3 วินาที 3 4 เลื่อนสวิตช์ "slide to power off" ไปทางขวา. เพื่อให้ iPad ปิดเครื่อง 5 รอจนหน้าจอ iPad ดับไป. พอหน้าจอ iPad ดับไปเป็นสีดำแล้ว แปลว่าคุณปิดเครื่อง iPad เรียบร้อย วิธีการ 2 ของ 3: ปิด iPad จากใน Settings 1 เข้า Settings ของ iPad. แตะไอคอนของแอพ Settings ที่เป็นสี่เหลี่ยมสีเทามีรูปฟันเฟือง 2 แตะ General. ที่ด้านซ้ายของหน้า Settings แตะ Shut Down. กลางหน้าจอ อันนี้แล้วแต่ขนาดหน้าจอของ iPad ที่ใช้ บางทีก็ต้องเลื่อนลงไปกลางหน้าจอก่อน ถึงจะเห็นตัวเลือก Shut Down 4 เลื่อนสวิตช์ "slide to power off" ไปทางขวา. ปกติจะโผล่มาทางด้านบนของหน้าจอ เลื่อนแล้ว iPad จะปิดเครื่อง วิธีการ 3 ของ 3: บังคับปิด iPad 1 เมื่อไหร่ถึงต้องบังคับปิดเครื่อง. ให้ force-restart หรือบังคับรีสตาร์ท เฉพาะตอนที่ iPad ค้างหรือไม่ตอบสนองต่อปุ่ม "Sleep/Wake" เท่านั้น [1] บังคับรีสตาร์ท iPad แล้ว บางแอพอาจจะล่มได้ งานไหนที่ทำค้างไว้ไม่ได้เซฟ ก็จะหายไป 2 หาปุ่ม "Sleep/Wake" ของ iPad.
ปกติปุ่ม "Sleep/Wake" จะเป็นปุ่มรีๆ อยู่มุมขวาบนของเครื่อง iPad ถ้ายก iPad ขึ้นในแนวตั้ง 3 หาปุ่ม "Home". ปุ่ม "Home" จะเป็นปุ่มกลมๆ อยู่ที่ด้านล่างของหน้าจอ ที่ตัวเครื่องของ iPad 4 กดปุ่ม "Sleep/Wake" และปุ่ม "Home" ค้างไว้พร้อมกัน. ต้องกดค้างไว้จนโลโก้ Apple โผล่มา 5 ปล่อยมือได้หลังเห็นโลโก้ Apple. แปลว่าบังคับรีสตาร์ท iPad สำเร็จแล้ว 6 รอจน iPad รีสตาร์ทเสร็จ. พอเห็นหน้า Lock Screen ของ iPad ก็ทำขั้นตอนต่อไปได้เลย 7 ปิดเครื่อง (shut down) iPad ตามปกติ. พอ iPad เปิดกลับมาแล้ว ก็ควรจะหายค้างแล้ว คุณก็ปิดเครื่องโดยกดปุ่ม "Sleep/Wake" ได้เลย ให้กดปุ่ม "Sleep/Wake" ค้างไว้จนสวิตช์ "slide to power off" โผล่มา เลื่อนสวิตช์ "slide to power off" ไปทางขวา รอจนหน้าจอ iPad ดับไป เคล็ดลับ ถ้า iPad ใช้งานไม่ได้ หรือปิดไม่ได้เพราะปัญหาระบบ ให้เข้า Recovery Mode เพื่อรีเซ็ตเครื่อง หรืออัพเดท iPad แทน คำเตือน ถ้าบังคับรีสตาร์ท iPad ตอนเปิดแอพไหนค้างไว้ ระวังไฟล์งานที่ไม่ได้เซฟจะหายไป เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้ มีการเข้าถึงหน้านี้ 16, 214 ครั้ง บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม
Live Photo ปิดแล้วก็ชอบกลับมาอีก ปิดยังไงก็ไม่ได้ นั่นเป็นเพราะ iOS13 บน iPhone 11 และ 11 Pro เค้าปรับเมนูใหม่ ซับซ้อนกว่าเดิม #ซื้อเองรีวิวเองไม่ต้องอวย 1 วิธีเรียกใช้กล้องอย่างรวดเร็ว จากหน้าจอล็อค สามารถเลื่อนจากขวาไปซ้าย เพื่อเปิดกล้องได้ทันทีโดนไม่ต้องปลดล็อค หรือจะกดไอค่อนกล้องที่มุมล่างขวาของตัวเครื่อง กดไว้จนเครื่องสั่นกล้องก็จะเปิดใช้งานทันทีเช่นกัน วิธีนี้สะดวกเพราะไม่ต้องผ่านหน้าจอล็อคสกรีน แต่มีข้อจำกัดเพื่อความปลอดภัยโดยเราไม่สามารถดูรูปที่ถ่ายไว้ก่อนหน้านี้ได้ ดูได้เฉพาะที่เพิ่งถ่ายไป 2. วิธีเรียกเมนูอย่างรวดเร็ว เมื่อเปิดใช้งานกล้อง แทนที่จะแตะที่ลูกศรด้านบนของจอเพื่อเปิดเมนูกล้อง เราสามารถรูดจากล่างขึ้นบน เวลาจะปิดก็รูด หรือ ตวัดจากบนลงล่าง ซึ่งวิธีนี้สะดวกมาก ๆ โดยเฉพาะคนใช้ iPhone 11 Pro Max ที่อาจเอื้อมนิ้วไปด้านบนไม่ถนัด เดี๋ยวเครื่องจะร่วงลงมากองพื้นเสียก่อน 3. วิธีปรับขนาดภาพถ่าย เมื่อเรียกเมนูแล้ว สามารถเลือกปรับบขนาดภาพถ่ายได้ว่าจะเป็น square 1:1, 4:3 หรือ 16:9 ซึ่งใน iPhone 11 ทั้ง 3 รุ่นนั้นเมนูกล้องไม่มี Square Mode ให้เลื่อนไปใช้งานอย่างรวดเร็ว ต้องอาศัยปรับตรงนี้ และเมื่อเราปิดกล้องไปสักพัก เปิดขึ้นมาใหม่ กล้องจะเป็น 4:3 เสมอ นอกเสียจากจะไปที่การตั้งค่าหลัก เลือก Camera -> Preserve Setting -> Camera mode 4.
เพื่อเปิด control panel ของ iPhone แตะปุ่ม "crescent moon". ที่เป็นปุ่มด้านบนของ control panel ใช้เปิดโหมด "do not disturb" ได้ ถ้าปุ่มนี้เป็นสีขาว แสดงว่าเปิด "do not disturb" ไว้ ให้แตะปุ่มอีกรอบ (กลับไปเป็นสีเทา) ถ้าอยากปิด "do not disturb" คุณเปิด "do not disturb" ได้อีกทาง คือไปที่ Settings > Do Not Disturb แล้วเลื่อนสวิตช์ข้าง "Manual" จากสีขาวให้เป็นสีเขียว [6] Control panel จะมีอีกไอคอนแบบเดียวกัน รูปพระจันทร์เสี้ยวในพระอาทิตย์ เป็นปุ่มใช้เปิดฟังก์ชั่น NightShift 4 ตั้งเวลาเปิดและปิดโหมดนี้ในแต่ละวัน. ถ้าโหมด "do not disturb" เป็นฟีเจอร์ประจำวันของคุณ ก็ตั้งโปรแกรมให้ iPhone เปิดและปิดโหมดนี้อัตโนมัติได้ ตามเวลาที่กำหนดในช่วงวัน โดยเลือก Settings > Do Not Disturb เลื่อนสวิตช์ข้าง "Scheduled" จากขาวเป็นเขียว แล้วตั้งเวลา "From" (เปิด) และ "To" (ปิด) [7] เช่น เปิดโหมดนี้ในเวลาทำงาน (9 AM - 5 PM (9 โมงเช้า - 5 โมงเย็น)) จะได้ไม่รบกวนสมาธิ 5 อนุญาตรับเฉพาะบางสาย ในโหมด "do not disturb". ตามค่า default ถ้าเปิด "do not disturb" ไว้ จะอนุญาตบาง contacts ได้ โดยกำหนดเป็น "Favorites" เท่านี้ก็จะรับสายจากเบอร์ดังกล่าวได้แล้ว คุณปรับแต่ง settings ได้ที่ Settings > Do not Disturb > Allow Calls From คลิก "Everyone", "No One", "Favorites" หรือ "All Contacts" [8] 6 อนุญาตรับสายที่โทรซ้ำ.
ปรับระยะเลนส์ เล่นให้คุ้ม อย่างที่รู้อยู่แล้วว่า iPhone 11 ทั้ง 4 รุ่นมีเลนส์ Wide ให้เล่น ซึ่งสามรถใช้ได้ทั้งโหมดปกติ, VDO, Panorama และ Portrait ซึ่งการใช้งานไม่ยาก แตะที่ 0. 5x, 1x หรือ 2x หากต้องการซูมมากกว่า 2x ก็ใช้นิ้วถ่างหน้าจอได้เหมือนเดิม เวลาจะกลับมาให้โหมดเดิมอย่างรวดเร็วก็แตะที่ตัวเลย โดยสามารถใช้ได้ทุกโหมดครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ นะครับ ใครมีเทคนิคอื่น หรือ มีอะไรแนะนำแวะมาบอกกล่าวกันได้เหมือนเคย ปล. จริง ๆ ยังมี composition ใน setting ให้เล่นอีก โดยเป็นการเปิดใช้เพื่อถ่ายรูปได้กว้างกว่าที่เห็น แล้วใช้แอพฯ photo ของไอโฟนเอง มา edit เพื่อจะแก้ไขภาพที่อาจถ่ายแล้วแหว่งไป แต่พออัพเดท iOS 13. 2 แล้วฟังค์ชั่นนี้มันแปลก ๆ ใช้งานไม่ได้เหมือนเดิมเลยขอข้ามไปก่อน ____________________________________________________________________ ฝากกดติดตามเพจ และ ช่องยูทูปเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีปิด voice control ใน iPhone ให้คุณเอง วิธีการ 1 ของ 2: ปิด Siri และ Voice Dialing 1 ให้คุณใช้วิธีลัดนี้ปิด Voice Control และป้องกันไม่ให้โทรออกเองแบบไม่ตั้งใจ (pocket call). จริงๆ แล้วคุณปิด Voice Control ไม่ได้ แต่เรามีวิธีลัดใช้เปิด Siri เพื่อไปแทนที่ Voice Control เปิดใช้รหัสผ่านล็อคหน้าจอ จากนั้นค่อยปิด Siri จากหน้าจอที่ล็อคอยู่ได้เลย วิธีนี้ใช้ป้องกันไม่ให้ปุ่ม Home เรียก Voice Control หรือ Siri ตอนที่ล็อคหน้าจอ เครื่องจะได้ไม่โทรออกเองโดยไม่ตั้งใจ 2 เปิดแอพ Settings. หาได้ง่ายๆ ที่หน้า Home หรือจะลากหน้า Home ลงมาแล้วค้นหาก็ได้ 3 แตะ "Siri". ถ้าคุณใช้ iOS 9 หรือเก่ากว่า คุณต้องเปิดเมนู "General" ก่อน 4 เลื่อนสวิตช์ Siri ไปที่ ON ในกรณีที่ off อยู่. คุณอาจงงว่าเราพูดผิดหรือเปล่า แต่จริงๆ เราต้องเปิด Siri ก่อนเพื่อให้ไปแทนที่ Voice Control 5 กลับไปที่เมนู Settings แล้วเลือก "Touch ID & Passcode". ถ้าเป็นเครื่องรุ่นก่อนๆ ที่ใช้ Touch ID ไม่ได้ ก็จะเรียกว่า "Passcode" เฉยๆ แต่ถ้าคุณใช้ iOS 7 หรือเก่ากว่า ต้องไปที่ "General" 6 แตะ "Turn Passcode on" แล้วตั้ง passcode ในกรณีที่ยังไม่เคยตั้ง.