รายได้เงินปันผล – จะคิดเป็นรายได้ก็ต่อเมื่อผู้ถือหุ้นมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล ซึ่งควรเป็นวันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติให้มีการประกาศจ่าย เพราะถือว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่แล้ว – แต่ถ้าได้เงินปันผลเป็นหุ้นปันผล ตามหลักการบัญชีจะยังไม่รับรู้เป็นรายได้ทันที แต่ให้นำหุ้นที่ได้รับมาเฉลี่ยกับหุ้นเดิมที่ถืออยู่เพื่อคำนวณหาราคาต่อหน่วยใหม่ 10. การวัดมูลค่า สำหรับการวัดมูลค่า คิดดังนี้ สมมติว่าบริษัท A ขายสินค้าให้กับบริษัท B ในราคา 10, 000 บาท โดยในวันที่ขาย ให้บริษัท B ออกตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดไม่มีดอกเบี้ย อายุ 3 ปี มูลค่าหน้าตั๋วเท่ากับ 10, 000 บาท ให้กับบริษัท A และสมมติว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดเท่ากับ 9% มูลค่าปัจจุบันของตั๋วเงินรับ = 10, 000 * PVIF 9%, 3 ปี = 10, 000 * 0. 77218 = 7, 721. 80 บาท ดังนั้นบริษัท A จะบันทึกรายได้จากการขายเท่ากับ 7, 721. 80 บาทนั่นเอง ดังนั้น การคำนวณกำไรสุทธิเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น ต้องทำตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร ดังนั้น เมื่อจะคิดคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีจึงต้องปรับปรุงยอดตามบัญชีให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรก่อน จึงจะนำกำไรที่ได้ปรับปรุงให้เป็นไปตามที่กฎหมายภาษีอากรกำหนดไปคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลนั่นเอง
กำไรสุทธิ = รายได้รวม – ค่าใช้จ่ายรวม สูตรการคำนวณกำไรสุทธิ เป็นสูตรที่ใช้สำหรับงบกำไร/ขาดทุน(Income statement) ซึ่งกำไรสุทธิ สามารถคำนวณได้จากการนำรายได้รวมทั้งทางตรงและทางอ้อมของกิจการ นำมาหักลบด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด อันประกอบด้วยต้นทุนของสินค้า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของกิจการทุกประเภท รวมทั้งภาษีจ่าย ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นกำไรสุทธิ ซึ่งกำไรสุทธ เป็นตัวเลขบ่งบอกความสามารถในการดำเนินกิจการและการควบคุมค่าใช้จ่าย จนก่อให้เกิดเป็นดอกผลของกิจการที่เกิดขึ้นในรอบปีหรือรอบไตรมาสนั้นๆ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะเป็น "ขาดทุนสุทธิ" ได้เช่นกัน 3. กำไรสะสมปลายปี = กำไรสะสมต้นปี + กำไรสุทธิ – เงินปันผลจ่าย สูตรคำนวณกำไรสะสมปลายปี เป็นสูตรทางบัญชีเพื่อใช้จัดทำงบกำไรสะสม ซึ่งเป็นงบที่แสดงผลการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มกิจการจนถึงงวดบัญชีปัจจุบัน ว่ากิจการมีกำไรสะสมเพิ่มขึ้นเท่าใด หรือหากขาดทุนสุทธิหรือมีการจ่ายเงินปันผลก็จะทำให้กำไรสะสมปลายปีลดลง ซึ่งสูตรคำนวณกำไรสะสมปลายปี เกิดจากการนำกำไรสะสมจากปีก่อนหน้ามาบวกกับกำไรสุทธิในรอบบัญชีปัจจุบัน และนำไปหักออกจากเงินปันผลที่จ่ายให้กับนักลงทุน (หากมี) ก็จะได้เป็นกำไรสะสมที่แสดงอยู่ในบรรทัดหนึ่งของส่วนทุนของเจ้ากิจการในบัญชีงบดุล(Balance Sheet) 4.
รายได้จากการขายผ่อนชำระ – มีการรับรู้รายได้จากการขาย ณ วันที่เกิดรายการ – รายได้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนในส่วนของเจ้าของไปแล้ว – รับรู้เฉพาะรายได้จากการขายที่ไม่รวมดอกเบี้ย ซึ่งการวัดมูลค่าของยอดนี้มาจากการคิดลดลูกหนี้ค่างวดด้วยอัตราที่กำหนด ส่วนรายได้ดอกเบี้ยนั้นให้รับรู้ตามสัดส่วนเวลาตามอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 6. รายได้จากการให้เช่าซื้อ – กำไรจากการขายซึ่งคิดจากราคาขายเป็นเงินสดหักด้วยต้นทุนของสินทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อ – ดอกผลจากการให้เช่าซื้อให้รับรู้เป็นงวดๆ โดยใช้วิธีตารางเงินรายปี ถ้าหากไม่ได้รับชำระเงินตามงวด ต้องหยุดการรับรู้รายได้ไว้ก่อน 7. รายได้จากสัญญาเช่าระยะยาว – สัญญาเช่าการเงิน คือ สัญญาเช่าที่ทำให้เกิดการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดให้แก่ผู้เช่าไม่ว่าในที่สุดการโอนกรรมสิทธิ์จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม – สัญญาเช่าดำเนินงาน คือ สัญญาเช่าที่ไม่ใช่สัญญาเช่าการเงิน 8. รายได้ดอกเบี้ย – รายได้จะพิจารณาเมื่อได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ – สามารถวัดมูลค่าของดอกเบี้ยได้อย่างน่าเชื่อถือ – คำนวณตามสัดส่วนของเวลาโดยคำนึงถึงอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของทรัพย์สิน 9.
กำไรสุทธิ = ทุนปลายปี – ทุนต้นปี – ลงทุนเพิ่ม (Visited 205 times, 1 visits today) โทร. 081-931-8341 เมนูนำทาง เรื่อง
5 สูตรบัญชีสำคัญ ที่คุณควรรู้ หากพิจารณาข้อมูลในงบการเงิน ไม่ว่าจะเป็นรายงานงบดุล (Balance Sheet) หรือ งบกำไรขาดทุน (Income statement) จะพบว่าทั้งสองรายงานประกอบด้วยข้อมูลทางบัญชีจำนวนมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผู้ใช้ประโยชน์จากงบการเงิน เช่น ผู้ประกอบการ / เจ้าของกิจการ นักลงทุน หรือคู่ค้าทางธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกข้อมูลที่ปรากฏในรายงานทางบัญชี เนื่องจากมีวิธีการอ่านงบการเงินที่ง่าย โดยการเข้าใจสูตรบัญชีที่สำคัญ ซึ่งในบทความนี้ ได้รวบรวม 5 สูตรการบัญชีที่ใช้บ่อยที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์ในการนำข้อมูลทางบัญชีไปวิเคราะห์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ดังนี้ 1. สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนทุนของเจ้ากิจการ สูตรดังกล่าวนี้เป็นสูตรพื้นฐานที่สำคัญในการอ่านหรือสร้างงบดุล(Balance Sheet) ที่ถูกต้อง โดยใช้เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างทางการเงินของกิจการว่า สินทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ เกิดจากเงินทุนของเจ้าของกิจการรวมจากการสร้างหนี้ เช่น การกู้ยืมธนาคาร เป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งหากส่วนทุนของเจ้าของกิจการมีค่าน้อยกว่าหนี้สิน ก็เป็นการบ่งบอกว่ากิจการดังกล่าวมีสภาพคล่องต่ำ โดยเราสามารถหามูลค่าของหนี้สินได้ด้วยการย้ายข้างสมการ เช่น หนี้สิน = สินทรัพย์ – ส่วนทุนของเจ้าของกิจการ เป็นต้น 2.
10 ต่อมาให้คูณตัวเลขดังกล่าวด้วย 100 เพื่อหาเปอร์เซ็นต์ของอัตรากำไรสุทธิ: 10 เปอร์เซ็นต์ คุณจะเห็นได้ว่าอัตราส่วนของกำไรกับรายรับอาจต่างกันไปตามประเภทของกำไรที่เลือกสำหรับการคำนวณอัตรากำไร อัตรากำไรเพียงอย่างเดียวไม่ได้แสดงภาพรวมของสถานะทางการเงินของธุรกิจ แต่การเรียนรู้ที่จะคำนวณอัตรากำไรจะทำให้คุณได้เห็นว่าต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจในส่วนใด