ม., 96-112 ก. และ 112 ก. - 128 ก. โดยในการวิจัยดังกล่าวยังมีผลลัพธ์ เช่นเดิม คือเมื่อความเร็วสูงขึ้นการกินน้ำมันจะสูงตาม แต่เขายอมรับว่า ว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ดีขึ้นในสมัยนี้ ทำให้การทำความเร็ว ช่วง 96-112 ก. มีการประหยัดมากขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เมื่อเทียบจากช่วง 80-96 ก. ม. เมื่อมองตามข้อมูลจะพบว่า ถ้ามองตามข้อมูลแล้ว สิ่งที่พบได้อย่างชัดเจนคงไม่พ้นว่า เมื่อขับเร็ว คุณก็ต้องยิ่งจ่ายมากขึ้นในการใช้ความเร็ว และนักวิจัยเองก็ระบุว่า รถยนต์แต่ละรุ่นมีช่วงความเร็วที่เหมาะสมไม่เหมือนกัน ซึ่งหมายความว่า การที่คุณยึดติดกับ ขับ 90 ก. แล้วประหยัดน้ำมัน ไม่ใช่จะประหยัดกับรถทุกรุ่นเสมอไป แม้การขับขี่ที่ตัวเลข 90 ก. จะไม่ใช่ตัวเลขความเร็วที่จะทำให้ประหยัดจริงๆอย่างที่เราเข้าใจ แต่ข้อเท็จจริงหนึ่งคือว่า ยิ่งคุณขับรถเร็ว รถก็ยิ่งจะใช้น้ำมันในการเดินทางเพิ่มขึ้น ดังนั้นทางที่ดีเลิกยึดติดกับขับ 90 แล้วจงดูช่วงความเร็วที่เหมาะสมในการขับขี่ว่า รถคุณขับเท่าไรจะความประหยัดมากที่สุด หรือบางทีรถที่คุณใช้อยู่อาจจะประหยัด เมื่อขับที่ ความเร็ว 90 ก. ก็ได้ แหล่งข้อมูลอ้างอิง Green car Congress, NBC News
(55 ไมล์/ชม. ) เป็น 104 ก. (65 ไมล์/ชม. )
เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง ตั้งแต่ราคาน้ำมันแพงขึ้นตามลำดับ เรามักจะได้ยินประโยคที่บอกว่า ขับขี่ปลอดภัย 90 ก. ม. /ช. ช่วยชาติ ประหยัด น้ำมัน จนตอนนี้ กลายเป็นเสียงเพรียกหาที่ท่องกันจำขึ้นใจ ว่า การขับแบบนี้ จะช่วยให้ประหยัดน้ำมัน แน่นอน ทั้งที่เราไม่เคยตั้งคำถามว่า ทำไม เราถึงต้องขับ 90 ก. ทั้งๆที่ไปเร็วกว่านั้น อาจจะใช้น้ำมันคุ้มกว่า... หรือเปล่า เทคโนโลยีที่ดีขึ้น นำมาสู่การตั้งคำถามในแง่หนึ่งที่หลายคนคงใครอยากจะรู้แต่ก็ไม่ถามว่า สรุปขับ 90 ก. นั้นช่วยประหยัดได้จริงหรือไม่ ทั้งๆที่ ก่อนหน้านี้ ประโยคที่เราได้ยินนี้ก็นานนมมากแล้ว แถมรถยนต์หลายรุ่นยังมีการพัฒนาให้ก้าวล้ำมากขึ้นเรื่องความประหยัด หลายค่ายสามารถใช้พลังงานทางเลือก E85 ได้ หลายค่ายผลิตรถอีโค่คาร์รักษ์โลกประหยัดพลังงานออกมาตอบตลาดในเรื่องความประหยัดกับตัวเลข ชิวๆ 20 ก. /ลิตร รูปจากการทดสอบขับประหยัด เลข 90 ก. ประหยัด ช่วยชาติ น่าจะเป็น ข้อความที่ทำให้เราตระหนักว่า การขับรถเร็วเกินไปนอกจากจะเป็นอันตรายและ ยังทำให้คุณสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ ซึ่งแม้จะไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้คิดริเริ่มในการนำ ตัวเลขดังกล่าวมาโชว์ในการสร้างความตระหนัก แต่ก็น่าจะเชื่อว่า วลีที่เราคุ้นเคย น่าจะมีการพูดถึงอย่างกว้างขวางเมื่อช่วงปี พ.
1. ลดน้ำหนักบรรทุกให้ได้มากที่สุด น้ำหนัก 25 กก. วิ่งระยะทาง 100 กม. ใช้น้ำมันไป 120 ซี. ซี. เท่ากับระยะ 1. 2 กม. น้ำหนัก 50 กก. ใช้น้ำมันไป 240 ซี. เท่ากับระยะ 2. 4 กม. น้ำหนัก 100 กก. ใช้น้ำมันไป 480 ซี. เท่ากับระยะ 4. 8 กม. วิ่งระยะทาง 800 กม. ใช้น้ำมันไป 3, 840 ซี. เท่ากับระยะ 38. 2. ลมยางเหมาะสม ลมยางอ่อน 3 ปอนด์ ยางหนึดทำให้กินน้ำมันเพิ่ม 1-2% 3. หมั่นเช็คเครื่อง/เช็ครถ ทุกๆ 1, 000 กม. ประหยัดได้ 5 ลิตร 4. หากหยุดเกิน 15 วินาที ให้ดับเครื่องทันที หากยังติดเครื่องไว้ทุกๆ 3 นาที ใช้น้ำมันไป 100 ซี. เท่ากับระยะทาง 1 กม. 5. เปลี่ยนเกียร์สูงทันทีเมื่อเครื่องยนต์ทำงานถึง 2, 500 รอบ/นาที 6. หลีกเลี่ยงการเบรคอย่างรุนแรง " เบรคบ่อย ปล่อยคลัทช์-คันเร่งช้า ระยะทางหาย" " การปล่อยไหล ประหยัดกว่าปลดเกียร์ว่าง" 7. ใช้ความเร็วคงที่ 90 กม. /ชม. หรือที่ 1, 800 รอบ/นาที จะประหยัดและได้ประโยชน์สูงสุด หากใช้ความเร็วที่ 110 กม. จะทำให้กินน้ำมันมากกว่า 25% 8. เปิดแอร์ตลอดทำให้กินน้ำมันอีก 10% 9. รถเกียร์อัตโนมัติกินน้ำมันกว่าเกียร์ธรรมดา 10% 10. น้ำมันเครื่องแพงดีๆ ช่วยการประหยัดได้ 5-10% เทคนิคการขับรถแบบประหยัดน้ำมัน 1.
โดย: | May 23, 2017 | หมวดหมู่: Car care, driving tips ทุกวันนี้เป็นยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ในขณะที่ฐานเงินเดือนไม่ได้ขยับขึ้นตามค่าครองชีพเลย นั่นทำให้เศรษฐกิจซบเซาเพราะคนใช้จ่ายน้อยลง ประหยัดอะไรได้ก็ต้องประหยัด รวมถึงน้ำมันด้วย เพราะราคาต่อลิตรก็ไม่ใช่ถูก ๆ จึงมี วิธีขับรถประหยัดน้ำมัน มาฝากคุณผู้อ่านกันในวันนี้ 1. วิธีขับรถประหยัดน้ำมัน ต้องเริ่มที่ความเร็ว เป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ยิ่งขับรถเร็วมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งใช้พลังงานน้ำมันมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น การขับรถในความเร็วที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนนึกถึงในเรื่องการประหยัดน้ำมัน ซึ่งแน่นอนว่าใช้ได้ผลจริง เรื่องความเร็วคงจะไม่มีผลมากนักหากคุณขับรถในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรที่ค่อนข้างติดขัด แต่ถ้าหากขับรถทางไกลควรจำกัดความเร็วไม่ให้เกิน 90 กม. /ชั่วโมง เพื่อประหยัดน้ำมัน ประหยัดเงินในกระเป๋านะคะ 2. ตรวจเช็กลมยางเป็นประจำ การขับขี่รถยนต์ด้วยยางรถยนต์ที่มีลมยางอ่อนเกินไป ยิ่งเดินทางไกลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเปลืองน้ำมันมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ควรหมั่นตรวจเช็กลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ การเติมลมยางมากเกินไป อาจจะไม่ส่งผลเรื่องการใช้พลังงานมากนัก แต่อาจจะส่งผลเรื่องความปลอดภัยได้ เพราะยางอาจจะเกิดระเบิดขึ้นระหว่างเดินทางได้นั่นเอง นอกจากนี้ ควรมองหาร่องรอยของการขูด รูรั่ว รอยบาด รอยแตกในยาง รวมถึงตรวจสอบวันที่ผลิตของยางด้วย หากพบว่ายางของคุณมีอายุเกินกว่า 6 ปี คุณจำเป็นจะต้องเปลี่ยนยางใหม่ก่อนที่จะใช้งานยางในระยะไกล 3.
เดินทางให้ถูกเวลา ใครจะคิดว่าแค่การเลือกเวลาออกจากบ้านจะช่วยให้คุณประหยัดน้ำมันได้ แต่มันทำได้จริง เพราะในวันธรรมดาช่วงเช้าและเย็นเป็นช่วงที่มีรถติดมหาศาล ถือเป็นช่วง Rush Hours การเดินทางในช่วงเวลานี้จะทำให้คุณไปติดแหงกอยู่บนท้องถนน ซึ่งยิ่งติดคาอยู่บนถนนนานเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสิ้นเปลืองน้ำมันมากเท่านั้น ดังนั้นตื่นเช้าขึ้นอีกสักนิด ออกจากบ้านก่อนเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงช่วงเวลา Rush Hours ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้คุณประหยัดน้ำมันได้ นอกจากนี้ ในการเดินทางไกล การขับรถในเวลากลางคืน ก็จะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากกว่าการขับรถในเวลากลางวันที่มีรถเยอะกว่า การจราจรพลุกพล่านมากกว่า 9. วางแผนการเดินทาง คุณรู้ไหม?
ตนติดต่อแล็บแห่งหนึ่ง ซึ่งรับตรวจหาเชื้อโควิดได้ ญาติจึงรีบมารับ และพาไปตรวจทันที ข่าวร้ายมาเยือน เมื่อผลตรวจของลูกออกมาเป็นบวก พบว่าติดเชื้อโควิด จากนั้นญาติๆ ก็เริ่มโทรติดต่อโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อหาเตียงรักษา ส่วนเราคอยดูอาการ ป้อนยา ส่วนผลตรวจของตน เพิ่งออกเมื่อวันที่ 16 ก.
หลีกเลี่ยงการกระฉากเครื่อง การเร่งเครื่องจนมิดนั้น จะทำให้เครื่องยนต์ใช้พลังงานมากขึ้นในการเร่งเครื่อง เช่น ขณะขับรถยนต์เกียร์ธรรมดา คุณเร่งเครื่องเพราะขี้เกียจเปลี่ยนเกียร์ ลากเกียร์เอาไว้อีกสักหน่อย ทำให้มีความสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง แต่หากเป็นรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ระบบเกียร์จะปรับเปลี่ยนอย่างเหมาะสมไปตามความเร็วที่คุณใช้ ซึ่งแน่นอนว่าเกียร์อัตโนมัติทำได้ดีกว่าการขับรถด้วยเกียร์ธรรมดาของคนแน่นอน แต่แม้ว่าระบบเกียร์จะดีอย่างไร การเร่งเครื่องพร่ำเพรื่อก็ยังเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานอยู่ดี ดังนั้น ขับรถให้นิ่มนวลโดยใช้ความเร็วสม่ำเสมอดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นระบบเกียร์แบบใดก็ตาม 4. ลดน้ำหนักบนรถ ลดการซดน้ำมัน รถยนต์ต้องใช้พลังงานมากขึ้น ในการขับเคลื่อนไปข้างหน้าในขณะที่บรรทุกน้ำหนักมากมาก ลองนึกถึงการเดินดูสิ การเดินโดยที่คุณถือของพะรุงพะรังมากมายนั้น ย่อมใช้พลังงานมากกว่าการเดินตัวเปล่าใช่ไหมล่ะ ดังนั้น เราขอแนะนำให้คุณลดภาระของรถยนต์ลงด้วยการทำความสะอาดรถ นำสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกไปจากรถเพื่อให้น้ำหนักของรถนั้นเบาลง ช่วยให้ใช้พลังงานน้อยลงและประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นนั่นเอง และที่สำคัญ ยังช่วยให้รถของคุณดูสะอาดอยู่เสมออีกด้วย 5.